ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เฉลิมฉลอง

เฉลิมฉลองให้กึกก้องกันทั่วหล้า
จากพื้นดินจรดฟ้านภาพร่าง
ประกาศเกียรติขจรไกลความไร้ยาง
แอบอำพรางด้วยแพรพรรณอันวับวาม


เฉลิมฉลองให้ก้องกึกพิลึกโลก
ห่มคลุมความวิปโยคแลหยันหยาม
เป็นภูตผีที่เร้นกายใต้ความงาม
ซ่อนใจทรามต่ำช้าด้วยชำนาญ


เฉลิมฉลองให้ก้องหล้านภากาศ
วิปลาสอันลือเลื่องระเริงร่าน
สรรพชีวิตน้อยใหญ่ในจักรวาล
สนุกสนานสนิทสนมสามัคคี


เฉลิมฉลองแลชมชื่นในความชั่ว
ความหวาดกลัวเกลียดชังดังอึงมี่
เพียงประสงค์ให้จงรักแลภักดี
พรากชีวีไพร่ฟ้าประชาชน


เฉลิมฉลองร้องรำระบำฟ้อน
เสวยสุขใต้คำสอนอันเปี่ยมล้น
แผ่บุญญาธิการอันพิกล
สร้างกุศลบนกองเลือดแลน้ำตา


เฉลิมฉลองอันฉาบฉวยด้วยกิเลส
คลุมประเทศด้วยละครสอนสั่งว่า
ประเทศเรา ต้องฉลอง ต้องบูชา
เทวดาผู้เมตตาจักไม่ตาย..............นะ.

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ยังจำได้ไหม ถึงใครคนหนึ่ง

ยังจำได้ไหม ถึงใครคนหนึ่ง

ซึ่งเราเคยบอกว่า รัก รัก รักเท่าฟ้า..........

คนเหนือคนเปี่ยมล้น...กรุณา

นิยามว่าเกินกว่าความปราณี



ยังจำได้ไหม

ภาพยิ่งใหญ่ใสสว่างสลับสี

จำกัดความงดงามและความดี

ไม่อาจมีใดเทียบฤาเปรียบปาน



ยังจำได้ไหม

อธิปไตยใต้ร่มเงาที่เล่าขาน

สิทธิ์-เสรี ที่เรียกหามาเนิ่นนาน

ก็ได้รับ ประทานความระทม



ยังจำได้ไหม

เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ถูกต้ม

ที่หลงเชื่อวาจาหลงคารม

ที่เขาสั่งให้สะสมความงมงาย



ยังจำได้ไหม

เรายินยอมพร้อมใจ ด้วยใจง่าย

สละเลือด สละร่าง สละกาย

เป็นเครื่องหมายความจงรักความภักดี



ยังจำได้ไหม

จำว่าใครทำร้ายเราวันนี้

แย่งความหวัง วันเก่าเราเคยมี

ความหวังที่เราตามไปใกล้ความจริง



ยังจำได้ไหม

คนย่ำยีหัวใจ ทั้งชายหญิง

ที่สูบเลือดเราเป็นเป็น เช่นทากปลิง

ที่สั่งยิงสั่งฆ่าประชาชน



ยังจำได้ไหม

ที่คนไทยคิดเติบใหญ่ ใครสั่งปล้น

ยึดอำนาจไปกี่ครั้ง ยังอดทน

เราเลือกคน เขาไล่คน ให้เราดู



ยังจำได้ไหม

ตุลาฯถูกหลอกใช้ ไม่เรียนรู้

อีกตุลาฯ เลือด-น้ำตา ก็พร่างพรู

พฤษภาฯ คิดว่าสู้ อยู่กับโจร



ถึงวันนี้

คงรู้ดีว่าใครใส่หัวโขน

เป็นพ่อพระห่มกิเลสไฟลุกโชน

เลวแต่ปลายยันโคน คนนั้นไง



จำได้หรือยัง

คนที่สั่ง สั่งฆ่า เห็นหน้าไหม

ทุกคนคงจดจำ จำฝังใจ

อยากเป็นไพร่ หรือเป็นไท ให้เลือกเอา

สาปส่งวันเกิด

แสบกระสันวันเกิดนะคนแก่
จงทดท้อป้อแป้.....แย่....ไอ้หยา
เป็นเคราะห์หามยามซวยด้วยเวลา
จึ่งแย่งแมวชิงหมา มาเป็นคน

แสบกระสันวันเกิดนะคนเก่า
เห็นเย่อหยิ่งอิงเจ้าก็หลายหน
วิปริตวิตถารพิการพิกล
ทั้งหน้าด้านหน้าทนไร้เทียมทาน

แสบกระสันวันเกิดนะคนแก่
จงพ่ายแพ้ผุพังละสังขาร
ได้เสพสุขทรัพย์สินศฤงคาร
กระทั่งบ้านไม่ซื้อหามันน่าอาย

แสบกระสันวันเกิดนะคนเก่า
ให้เนื้อหนังเปื่อยเน่าเสื่อมสลาย
ให้เคราะห์เบียดภัยเบียนจนเจียนตาย
ให้โรคร้ายรุมเร้าจวบเข้าโลง

ไม่มีชื่อ

จงขีดเขียนความงามอันโง่เง่า
จงละเว้นความเศร้าความเหงาหงอย
จงสรรเสริญความประเสริฐให้เลิศลอย
จงสำนึกความต่ำต้อยแห่งตัวตน


จงอย่าเขียนความงมงายอันงมโง่
จงอย่าถามความโทโสกิเลสล้น
จงอย่าร้องเรียกหาปัญญาชน
จงอย่าบ่น ยุติธรรมถูกรังแก


เขียนกี่บทกี่ความ ก็ตามเถอะ !
เมืองนี้มันเปื้อนเปรอะด้วยเงื่อนแง่
เสรีภาพแห่งไพร่ถูกลอยแพ
ไล่ฟ้องพ่อ-ฟ้องแม่กันล้นเมือง


อยากออกเสียงเพียงป้อง ปากกระซิบ
อยากเหลือบแลแค่ขยิบ ต้องยักเยื้อง
อยากเปิดหูยินปัญญามาประเทือง
อยากเปิดใจให้รับเรื่องทุกสิ่งสรร


เรียนวิชาอ่านตำราเป็นหน้าที่
บางสิ่งกลับลับลี้ สู่สวรรค์
เทวดากับคนอย่าปนกัน
จะอ้างนี่อ้างนั่น.....มันไม่ฟัง


นิดก็หมิ่นน้อยก็หมิ่นดั่งสิ้นคิด
ใต้มายาวิปริตเป็นบ้าคลั่ง
ขยายเล็กจนใหญ่ให้โด่งดัง
กดตาชั่งตราชูให้อยู่มือ


ก็งามหน้า.....ที่รักษามานานเนิ่น
ภาพที่เห็นเด่นเกิน กว่า นับถือ
ใต้ซากของความฝันนั้นก็คือ
เถ้ากระดูกคนดื้อโดยสันดาน

พักโฆษณา

โฆษณาเข้าไปให้ลือเลื่อง
ทั้งในเมืองนอกเมืองเป็นเป้าหมาย
ถ้วนทุกคนประชาชนหญิงและชาย
กระเทยงัวกระเทยควายก็ไม่เว้น

ทั้งทอมดี้ตี๋หมวยหรือแต๋วแตก
จะรุ่นแรกรุ่นหลัง รุ่นดังเด่น
รวมดารานักร้องรุ่นท็อปเท็น
สมัครเป็นพรีเซ็นเต้อร์ตามๆกัน

หนังสือพิมพ์พาดหัวตัวเท่าหม้อ
เพื่อร้องขอนิทานสมานฉันท์
ความสงบความสง่ากลับมาพลัน
ความสงัดเงียบงันจนงวยงง

วิทยุ ทีวี ช่วยตีข่าว
สมานความแตกร้าวช่วยไล่ส่ง
ต่างสำรากมุทะลุแล้วยุยง
สยามคงยิ้มได้ไม่อายใคร

เป็นรอยยิ้มสีเหลืองอันร้ายกาจ
วิปริตวิปลาสประโคมให้
แก่สังคมด้วยสังคังกำลังใจ
ความขัดข้องอันใดก็ไม่มี

โฆษณาเข้าไปให้ลือลั่น
ตลอดคืนตลอดวันมันเต็มที่
ตลอดวันตลอดเดือนตลอดปี
ทุกอย่างฟรีไม่มีอั้นไม่มีอาย

โฆษณาทั่วดินฟ้ามหาสมุทร
อย่าได้หยุดอย่าได้ยั้งทั่นทั้งหลาย
ให้บรรดาไพร่ฟ้า แลงัวควาย
จงมอบใจมอบกายมาตายแทน

แล้วสอบผลนับคนให้ถ้วนทั่ว
รวมทั้งงัวทั้งควายอีกหลายแสน
เรื่องที่โปรปะกันด้ามาทั่วแดน
ตอแหลแลนด์ยังมอบรักปักหัวจายยยยยย

พระเพลิง

พระเพลิงที่แผดเผา
จะเร่งเร้าสิทธิเสรี
ทวงคืนซึ่งความดี
อันถูกเบียดถูกบดบัง



หนึ่งไฟหนึ่งใจหาญ
เข้ารอนรานด้วยชิงชัง
จิตร่ำใจร้องสั่ง
ความโสโครกสลายลง



พระเพลิงที่แผดเผา
จะบรรเทาความลุ่มหลง
ความมานะทระนง
ที่เหยียบย่ำอยู่ร่ำไป



หนึ่งไฟหนึ่งใจหาญ
มิกราบกรานอำนาจใด
เขาร่ำลือ กูคือไพร่
ขอมอบไฟ ดัวยใจรัก



พระเพลิงที่แผดเผา
ละความเศร้าที่จมปลัก
แผ่นดินที่พำนัก
เคยแตกร้าวจักรื่นรมย์



ร้อยไฟล้านใจหาญ
จักเผาผลาญจึ่งสาสม
ปลดทุกข์เปลื้องระทม
อันเคียนคาดไพร่ทาส.....เทอญ.....

ในบรรยากาศ

แดดจ้าจนตาเจ็บ
กลับหนาวเหน็บอยู่ภายใน
เวิ้งว้างวุ่นวายใจ
นะครวญคร่ำคะนึงหา

เมฆบังหยุดยั้งแสง
ยังอ่อนแรงแลอ่อนล้า
ผิเลือดหลั่งทั้งกายา
สิจะผ่อนไป่นอนพัก

หนทางยังทอดไกล
จะร่ำไรนะเหนื่อยหนัก
เดินถามถึงความรัก
มิรู้เห็นว่าเหือดหาย

แดดจ้าจนตาเจ็บ
ยิ่งหนาวเหน็บยิ่งเดียวดาย
จะพักร้อนฤาผ่อนคลาย
มิอาจยั้งด้วยลมเย็น

ร้อนเร่าเข้าในอก
เดินคอตกเหงื่อกระเซ็น
แลไปก็ไม่เห็น
รึปลายทางถูกปิดแล้ว

บอกบุญ

เชิญร่วมบุญสุนทานงานยิ่งใหญ่
เราเกิดใน ตอแหลแลนด์ แดนสยาม
ต้องรักกัน ทุกหมู่ ทุกผู้ ทุกนาม
เอาเหอะน่า! พยายาม ก็แล้วกัน

ใครมีน้อย ทำน้อย ได้บุญน้อย
บุญจะค่อย งอกงาม ตามความฝัน
บุญเจ้าข้า อย่ายื้อแย่ง จงแบ่งปัน
ทำสองวันเว้นสามวันเท่านั้นพอ

ใครมีมาก ทำมาก ได้บุญมาก
จะกระดาก เหนียมไป ทำไมหนอ
บุญมากมาย มีเท่าไหร่ ไม่เพียงพอ
ว่าจะขอ ตัดต่อ แค่พอเพียง

ใครไม่มี ไม่ต้องทำ ก็เท่านั้น
โมทนา แก่กัน อ่านออกเสียง
เปล่งสาธุ สาธุ ตามสำเนียง
บุญมาใกล้มาเคียงก็อิ่มใจ

โทระสับมาบอกบุญ กันบานเบอะ
ก็ช่างเหอะ รับไม่ทัน มันไม่ไหว
ก็บุญนี้ เป็นของฟรี ซะเมื่อไร
ต้องโอนตังค์ ไปให้ จึงได้มา

ตั้งราคาตามขนาด เล็ก กลาง ใหญ่
โพรโมเชิ่น ไฉไล จริงๆจ้า
อย่ารีรอ เดี๋ยวก็อด หมดเวลา
ต้องรอไป ปีหน้า นะจ๊ะ....เธอว์

ข้าพเจ้าเคยเป็นควาย

บนกรอบไม้แกะลายหรูวิจิตร
ทองแต้มติดลงรักฉลักเฉลา
ประกายทองส่องแจ้งเล่นแสงเงา
ลายก้านเถากอดรัดระบัดใบ

เป็นภาพฝันวันเก่าที่เราฝัน
ในภาพนั้นนานเนาเราจำได้
เป็นภาพที่เรามีอยู่ในใจ
เป็นภาพอันยิ่งใหญ่…อลังการ…

ผืนผ้าใบบอกเล่าหลายร้อยเรื่อง
ทั้งบ้านนอกในเมืองมหาศาล
ทะเล..แม่น้ำ..ห้วย..หนอง..คลอง..ลำธาร..
ถิ่นทุรกันดาร ถึงแดนฟ้า

เป็นนิทานปรัมปรามาแต่ไหน
ทั้งบ่าวไพร่ในประเทศไม่ถามหา
ร้อยเรื่องชวนพิศวง...ไม่สงกา
ต่างซาบซึ้งตรึงอุรามิลืมเลือน

ตรุษสงกรานต์ก็ประจงปัดหยากไย่
ปัดฝุ่นผงที่ลงไปให้แปดเปื้อน
ญาติโก โหติกาต่างมาเยือน
ตลอดเดือนดื่มด่ำ..ทำบุญทำทาน

ประนมมือภาวนาเบื้องหน้าภาพ
ศิโรราบก้มกราบใจซาบซ่าน
อุทิศบุญแบ่งปันช่วยบันดาล
ให้ผ่านพ้นภัยพาลมารมลาย

เมื่อคืนวันผันไปได้รับรู้
ได้แลดูสรรพสิ่งเสื่อมสลาย
มายาภาพเคยพิศชม อย่างงมงาย
จึ่งรับรู้.....เราเป็นควาย..มิใช่คน

บนกรอบไม้แกะลายหรูวิจิตร
ได้ครวญคิด สิ้นทุกสิ่ง ความสับสน
ความซาบซึ้งสิ้นไป ในบัดดล
สว่างแล้ว เสรีชน พ้นโซ่ตรวน

เปลี่ยนภาพใหม่ไฉไลใสสว่าง
เป็นรูปนางอวบอัดทุกสัดส่วน
ยิ้มชม้ายชายตาพายั่วยวน
ควรมิควรก็ต้องควร คนครับ...คน

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Listen Good, What You See is not What You See.

สิ่งที่เห็นไม่เป็นเช่นที่คิด
กำแพงปิดป้องไว้ไม่ให้เห็น
เพียงภาพหลอกบอกความตามจำเป็น
แล้วซ่อนเร้นความลวงโลกมายา

ที่ต่อเติมเสริมแต่งตำนานไว้
เป็นประชาธิปไตยอันไร้ค่า
ได้ล่อหลอกเล่าขานเนิ่นนานมา
ข้าวในนาปลาในน้ำตามนิยาย

สิ่งที่เห็นไม่เป็นเช่นที่หวัง
เพราะ “คำสอน” “คำสั่ง” "ทั่น" ทั้งหลาย
“โคสะนา” “ปะชาสำพัน” กันมากมาย
ทั้งติดป้าย "โป๊ดสะเต้อ" กันเกร่อเมือง

สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นที่ฝัน
สมานเธอ สมานฉัน กันฟูเฟื่อง
ร้องบรรเลงเพลงชาติไว้ให้รุ่งเรือง
อันสยามนามประเทืองเทพประทาน

อิสระ เสรี เป็นที่สุด
จึงต้องมุดแต่ในรูอยู่ในบ้าน
ตั้งแต่เล็กจนโตโง่ดักดาน
เกิดปัญญา วิชาการ วิชาเกิน

"ทั่น" ให้รู้ ให้ดู และให้เห็น
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ "ทั่น" สรรเสริญ
"ทั่น" ก่อสร้างทางไว้ให้เราเดิน
เราก็เพลินเจริญใจ “ให้ซาบซึ้ง”

สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นที่หวัง
ออกคำสั่ง “โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง”
เพราะเราไม่รักกัน "ทั่น" นั้นจึง-
ต้องลากดึงเราไว้ใต้อุ้งตีน

สมาน...อ่านว่า...สะ-หมาน...แปลว่า...สมาน

สมานฉัน-มาร่วมกัน-สมานแผล
ทั้งพ่อแม่พี่น้องต้องเชื่อมั่น
เมื่อเดินตามความตอแหลถึงทางตัน
ขอแบ่งปันน้ำใจมิตรไมตรี

สมานผม-สมานคุณ-กันเถิดครับ
สังวาสกับ ปรองดอง นะน้องพี่
สมานจิต-สมานใจ ใฝ่ความดี
ศีลเรามี ห้าข้อ แค่พอเพียง

สมานมึง-สมานกู อยู่ร่วมโลก
จะทุกข์โศกไปใย มันไม่เที่ยง
สมานสอน-สมานสั่ง ตาชั่งเอียง
เพื่อหล่อเลี้ยงกองกิเลส แก่เปรตชน

สมานเอ็ง-สมานข้า อย่าใจน้อย
อย่าให้คอยเรียกไปหลายๆหน
สมานแม่ง-สมานพ่อง-ต้องอดทน
เราอยู่บนแผ่นดินเพียงผืนเดียว

สมานอั๊วะ-สมานลื้อ ไม่ลำบาก
สมานครก-สมานสาก-ชักหวาดเสียว
จะทำบื้อ ตบมืออยู่ข้างเดียว
จะหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวในบั้นปลาย

สมานดิน-สมานดาว-สมานฟ้า
มาคุกเข่าเจรจา จงว่าง่าย
ค่อยค่อยคลาน สมานงัว-สมานควาย
สมานเป็น-สมานตาย ต้องบอกมา

สมานฉัน-สมานเธอ อย่าโหลยโทย
ทำมึงวาพาโวยไม่เข้าท่า
สมานเป็ด-สมานไก่-สมานกา
สมานดี-สมานบ้า-สมานบอ

สมานแล้ว-สมานเลย ไม่ลาลับ
ไอ้ที่จับขังไปให้ขังต่อ
ไอ้ที่เจ็บ เจ็บไป ให้เพียงพอ
ไอ้ที่ตายไปก็ ให้พอเพียง

จากใจ

จากหัวใจมอบให้แด่ไพร่ทาส
จากดวงจิตพิศวาสในทาสไพร่
จงรับรู้เรารักมากจากจิตใจ
จงรับไว้ รับไว้ รับให้ดี

มีมากมายหลายขนาดไม่กำหนด
จะได้จำได้จดในชาตินี้
จวบชาติหน้าเปนปุญญาปารมี
ว่าสิ่งที่เราให้มา ค่าเกินเมือง

จงเลือกสรรกันไปใหญ่หรือเล็ก
ไม่ว่าเด็กแลผู้ใหญ่ให้นับเนื่อง
ทั้งเพศหญิงเพศชายเพศประเทือง
อย่าติฉินว่าสิ้นเปลือง นะเปล่าเลย

มีมากมายไม่ถ้วนจำนวนนับ
ขอให้รับ รับจริงอย่านิ่งเฉย
อย่าทำงง ประเดี๋ยวคงจะคุ้นเคย
ไพร่ทาสเอยอย่าอิดเอื้อนอย่าเชือนแช

มาไวไวทาสไพร่ไทยทั้งผอง
อย่าคิดข้องรับรองเป็นของแท้
เรารักกัน รักกันไม่ผันแปร
รักไม่มีข้อแม้แต่อย่างใด

จากหัวใจมอบให้แด่ไพร่ทาส
จากดวงจิตพิศวาสในทาสไพร่
จงรับรู้เรารักมากจากทรวงใน
จากหัวใจมอบให้ไปคือ
“ลูกปืน”

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มึง ต้องจน

  • ประชาธิปไตย เปื้อนเปรอะเลอะคาวเลือด

    บนจุดเดือดความกำหนัดอำนาจ เหนือ-

    ชาวทาสไพร่ใต้เงาเขาจุนเจือ

    เพียงเม็ดเกลือคลุกก้อนข้าว จนคุ้นเคย

    .

    แล้วสอนสั่งเรียนหนังสือรู้ ภาษา

    มัธยัสถ์ถ้อยวาจาเวลาเอ่ย

    ทุกเวลาปั้นคารมเพียงชมเชย

    ไม่ละเลยจะโลมเล้าเพื่อ เอาใจ

    .

    ให้เรียนมากรู้มากลำบากยิ่ง

    คิดตำหนิติติงทุกสิ่งไซร้

    กอ ขอ คอ ให้พอรู้พออยู่ไป

    พออ่านออกเขียนได้ให้เพียง พอ

    .

    ทั้งงานนางานไร่ไม่เคยพัก

    ครั้นเจ็บหนักก็ขายนาไปหา หมอ

    แต่กาลเก่าเขายกย่องเขาเยิน ยอ

    เป็นสันหลังคดงอคนสำคัญ

    .

    จะมีสิทธิ์มีเสียงเพียง เลือกตั้ง

    รู้คนรักคนชังคนสร้างสรรค์

    คนดีชั่วคนนบนอบชอบพอกัน

    ฝากความฝันอันสดใสให้ผู้แทน

    .

    ให้หลุดพ้นวังวนวัฏจักร

    ปลดชีวิตติดชนักอันหนักแน่น

    ถ้วนทุกชาวบ่าวไพร่ในดินแดน

    ที่คับแค้นแสนยากลำบากลำบน

    .

    ได้ผู้แทนที่ดีมีความคิด

    มองชีวิตบ่าวไพร่ใช้เหตุผล

    คิดปลดกับดักกานพิการพิกล

    หวังทาสไพร่ให้หลุดพ้นจาก เพรงกรรม

    .

    แล้วเจ้าที่เจ้าทางมาอ้าง สิทธิ

    เหนือชีวิตทาสไพร่ในเบื้อง ต่ำ

    สามัคคีและมั่นคงเป็นธงนำ

    ช่วยตอกย้ำ มึงต้องจน พลเมือง

    .

กูคือไพร่

กูคือไพร่ใครก็รู้กูคือไพร่

เกิดแต่ในผืนดินถิ่นสยาม

เป็นขวานทองก้องชื่อบันลือนาม

เรียกว่าถิ่นไทยงามตามนิทาน

.

กูคือไพร่ใครก็รู้กูคือไพร่

มิเคยให้ใครเขาเฝ้าสงสาร

มิเคยจะเกะกะเที่ยวระราน

ไม่เกี่ยวข้องคนพาลผลาญทำลาย

.

กูคือไพร่ใครก็รู้กูคือไพร่

เป็นคนไทยเสมอซึ่งมึงทั้งหลาย

สืบเลือดมาปู่และย่า ตาและยาย

ต่างเกิดแก่และตายตามกันมา

.

กูคือไพร่ใช่อำมาตย์แต่ชาติ เกิด

เป็น เลือดไพร่ไม่เลอเลิศล่องลอยฟ้า

มึงอยู่สูงกูอยู่ต่ำ.....ธรรมดา

เพียงคุณค่าของชีวิตไม่ผิดกัน

.

กูคือไพร่ไร้เส้นก็เห็นอยู่

ทั้งโลกรู้กูคือไพร่ไม่เปลี่ยนผัน

แม้นอาวุธอาญามาลงทัณฑ์

ไม่นานวันไม่นานคืนจะฟื้นกาย

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"โร้ดแหม็บ"

.
.
สิ้นทางถอยทำทีว่าทำถูก
คิดจะปลูกจะสร้างทางสวรรค์
เป็น "โร้ดแหม็บ" แลบลิ้นมาหลอกกัน
แล้วร่วมดึงช่วยดันให้บรรลัย
.
.
จึงข่มขืนขบวนข่าวอันฉาวโฉ่
แต่งเติมโพลลเพิ่มค่าด้วยสาไถย
วิทยุ ทีวี เริ่มเติมเชื้อไฟ
หนังสือพิมพ์ เพิ่มไข่หลายหลายฟอง
.
.
เป็น "โร้ดแหม็บ" มีเส้นเช่นม็อบเหลือง
ด้วยกระเทยเฒ่าประเทืองมิขัดข้อง
อีกพรรคร่วมสังฆกามตามปรองดอง
หลายหลากสีโห่ร้องขอร่วมวง
.
.
โอ้ "โร้ดแหม็บ" มันดี วิเศษยิ่ง
มันเป็นสิ่งสร้างสรรค์อันสูงส่ง
เป็นปัญหาใครจะมาร่วมตกลง
ชาตินี้คงเป็นแค่ "แหม็บ" แห่งเมืองไทย
.
.

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ว่าว

ฬ.เอ๋ย ฬ.จุฬา
เจ้าลอยสูงเลอค่ากว่าว่าวไหน
ไม่เหลือบแลว่าวอื่นบ้างหรืออย่างไร
ทั้งว่าวน้อยว่าวใหญ่นอกสายตา

ป.เอ๋ย ป.ปักเป้า
ฉวัดเฉวียนค่ำเช้าเฝ้าคอยท่า
ช่างงามจริงเจียวหนอ ฬ.จุฬา
เจ้าเชิดหน้าเชิดคางอย่างผู้ดี

ง.เอ๋ย ง.งู
บินเล่นลมหางลู่สลับสี
มองนัยน์ตาเสาะหาซึ่งไมตรี
รู้แก่ใจคงไม่มีมาจากเธอ

ฬ.เอ๋ย ฬ.จุฬา
ยังเชิดหน้าเคียงฟ้าอยู่เสมอ
ปักเป้าน้อยด้อยค่าอย่าละเมอ
จะพร่ำเพ้อเพียงใดไม่มีวัน

ป.เอ๋ย ป.ปักเป้า
ดูสร้อยเศร้าก็สุขใจแม้ในฝัน
เพียงยลโฉมเฉิดฉายเห็นกายอัน
เทพธิดาจากสวรรค์ตะลึงแล

ง.เอ๋ย ง.งู
เฝ้ามองดูจุฬางาม งามจริงแท้
เพ่งเพลินไปขาดใจสิ้นฤดีแด
งามจริงแม่แม้จะเมินไม่เหลียวมอง

ฬ.เอ๋ย ฬ.จุฬา
ระเริงร่าสำราญยิ่งหยิ่งผยอง
ประดุจดาวว่าวใดๆก็ใฝ่ปอง
เป็นจุฬาจองหองใจมืดดำ

ครั้นลมบนบางเบาเจ้าจึงรู้
ว่าที่เจ้าลอยอยู่เพียงลมค้ำ
คราลงต่ำตกดินคงสิ้นใจ

ทั้งลมล่างลมบนทั้งคนชัก
เจ้าไม่เคยตระหนักหรือไฉน
เจ้าเลิศเลอเสมอเมฆบนฟ้าไกล
ที่เจ้าได้คือรักลวง แค่เพียงลม
.........................
ว่าวจุฬา
.
ช่างบอบบางแท้
หรือ
แกล้งทำเป็นบอบบาง
บอบบางโดยธรรมชาติ
หรือ
ทำดัดจริตบอบบาง
บอบบางโดยเนื้อหา
หรือ
บอบบางเพียงผิวเปลือก
บอบบางโดยเจตนา
หรือ
ถูกชักจูงให้บอบบาง
บอบบางโดยเต็มใจ
หรือ
บอบบางโดยถูกบีบบังคับขืนใจ
.
คำตอบไหนๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะบอบบางแบบไหน อย่างไร
.
ความบอบบางของ ว่าวจุฬา
ก็ได้คะแนนเต็ม 100

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ยุบ หรือ พอง

มึงก็อยากจะ "พอง" กูจ้อง "ยุบ"
มึงอยาก "บาน" กูว่า "หุบ" ดีกว่าไหม
มึงว่า "ต่อ" กูให้ "ตัด" เถอะ สินใจ
มึง "รีรอ" กูก็ "ไล่" ไอ้ฆาตกร

มึงยัง "ดื้อ" กูก็ "ด่า" ไอ้หน้าด้าน
มึง "ขี้ขอ" กูก็ "ค้าน" ไอ้กะล่อน
มึง "หลบหลีก กู "รุกไล่" ไม่ต้องนอน
มึง "กล่าวหา" กู "อุทธรณ์" ได้ทุกวัน

มึงว่า "ยุบ" กูว่า "ยาก" เพราะยี้ห้อย มันร้องไห้...
มึงใช้ "ปาก" กูใช้ "ใจ" ไม่แปรผัน
มึงว่า "ดี" กูว่า "ทราม" ตามๆกัน
มึง "ดึงดัน" กู "ขัดขวาง" ตามครรลอง

มึงด่า "ไพร่" กูด่าไอ้ "หมาอำมาตย์"
มึงอ้าง "ชาติ" กูอ้าง "ชน" คนทั้งผอง
มึงว่า "ซื่อ" กูว่า "คด" ดั่งลำคลอง
มึง "เรียกร้อง" กู "ทุเรศ" สุดจะทน


กรุงเทพ City of Angles เมืองเทวดา

ไพร่ ไม่มีสิทธิในกรุงเทพฯ

.

.

ณ.กรุงเทพฯ เทพสถิตอยู่ทิศไหน

ณ.กรุงเทพฯ.ฤาหลับใหลไม่ทุกข์ ร้อน

ณ.กรุงเทพฯ แดนเทวดามหานคร

ณ.กรุงเทพฯ ที่พักผ่อนนอนฝันดี

.

ณ.กรุงเทพฯ ทวยเทพแห่งฟากฟ้า

ณ.กรุงเทพฯ นัคราแห่งภูตผี

ณ.กรุงเทพฯ.ดินแดนกระฎุมพี

ณ.กรุงเทพฯ รวมกุลีไพร่สามัญ

.

ณ.กรุงเทพฯ เทพไท้ไร้สำนึก

ณ.กรุงเทพฯ ประกาศศึกแห่งสวรรค์

ณ.กรุงเทพฯ เทวดาเข้าโรมรัน

ณ.กรุงเทพฯ ที่ชนชั้นแยกกันเดิน

.

ณ.กรุงเทพฯ เกิดคำถามที่ถั่งโถม

ณ.กรุงเทพฯ ถูกแทะโลมไร้ขวยเขิน

ณ.กรุงเทพฯ ที่ลุ่มหลงแลเพลิดเพลิน

ณ.กรุงเทพฯ ที่หลงใหลไปไกลเกินกับ...เงินตรา

.

ณ.กรุงเทพฯ ที่ถมทับกับกิเลส

ณ.กรุงเทพฯ ทุกเทวษกันทั่วหน้า

ณ.กรุงเทพฯ ที่ท่วมซ้ำด้วยน้ำตา

ณ.กรุงเทพฯ ที่ชีวาต้องวอดวาย

.

ณ.กรุงเทพฯ ที่ถูกถามความถูกผิด

ณ.กรุงเทพฯ วิปริตแลโหดร้าย

ณ.กรุงเทพฯ ที่เปรียบคน เป็นดั่งควาย

ณ.กรุงเทพฯ ที่กฎหมายไม่เป็นธรรม

.

ณ.กรุงเทพฯ เทพสถิตอยู่ทิศไหน

ณ.กรุงเทพฯ เทพรู้ไหม ไทยชอกช้ำ

ณ.กรุงเทพฯ ฤาเทพไท้ ท่านใจดำ

ณ.กรุงเทพฯ ท่านก่อกรรม ไว้เกินพอ

.

ณ.กรุงเทพฯ ท่านทอดทิ้งเหล่าทวยราษฎร์

ณ.กรุงเทพฯ ท่านประกาศความตายต่อ

ณ.กรุงเทพฯ ทำลายไพร่ไม่รีรอ

ณ.กรุงเทพฯ ท่านจะขอ แผ่นดินคืน

.

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

1) อีกกี่ร่างจะร่วงหล่นบนทางนี้
สร้างถนนสายเสรีที่ฝันใฝ่
ต้องเสียเลือดสิ้นชีวีอีกเท่าใด
จึงจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
.
2) อย่าทวงถามความเป็นธรรมใครกำหนด
ยุติ-ธรรม โป้ปด ประเสริฐยิ่ง
ทั้งต่อต้านตอบโต้คนท้วงติง
ยังอ้างอิง ยุติ-ธรรม ตามใจตน
.
3) รั้วของชาติประกาศเป็นรั้วรัฐ
ปกป้องความกำหนัดกลางถนน
เฮ้ย! ขี้ข้าไพร่ฟ้าประชาชน
มันไม่ใช่ชีวิตคนแค่วัวควาย
.
4) จึ่งจงใจใช้อาญาและอาวุธ
แล้วรวบรัดเร่งรุดยังจุดหมาย
เพื่อบรรเลงบทเพลงแห่งความตาย
เข้าสลายทาสไพร่พลเมือง
.
5) นั่นน่ะเลือดข้าไพร่มันไร้ค่า
ป่าวประกาศศักดายามฟ้าเหลือง
มันสามหาวกล่าวโทษ ท่านโกรธเคือง
ทัพเจ้าคุณหนุนเนื่องจนเลือดนอง
.
6) อีกกี่ร่างต้องร่วงหล่นบนทางนี้
ฤาต้องพลีชีพไพร่ไทยทั้งผอง
อันสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไม่อาจร้องเรียกถามความเป็นคน
.
7) เทพเทวาเคยรักษาสยามราษฎร์
ใช้อธรรมเป็นอำนาจอันล้นพ้น
เสียงร่ำไห้แห่งไพร่ไม่ยินยล
เทพเสวยสุขล้นจนลืมเลือน
.
8) ประดาไพร่ถวายใจให้ข้าวน้ำ
ไม่เคยถามเรื่องใด ให้แปดเปื้อน
สิโรราบกราบไหว้ไม่แชเชือน
ตลอดวันตลอดเดือนตลอดปี
.
9) ก็ได้รู้ได้เห็นเป็นสัจจะ
ว่าธรรมะของท่านในวันนี้
ล้วนหยากไย่ไร้ค่าเปื้อนราคี
บนนิยามความดีที่หลอกลวง
.

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

ไพร่ ฟ้าธิปไตย

มาเถิดไพร่

อำนาจอธิปไตยจักได้เห็น

เปลี่ยนชีวิตที่ชอกช้ำแสนลำเค็ญ

ไพร่จักเป็นเสรีชนคนเท่ากัน

.

มาเถิดไพร่

สู้ด้วยจิตด้วยใจที่หมายมั่น

จะรังแกกันต่อไปไม่มีวัน

ไพร่ต้องฝ่าถึงฝั่งฝันอันเสรี

.

มาเถิดไพร่

รวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ในวันนี้

มาร่วมกันเรียกร้องสิทธิที่เรามี

เลือดเราสีเดียวกันเนิ่นนานมา

.

มาเถิดไพร่

มาทวงถามความเป็นไทให้ก้องฟ้า

ปลดปล่อยความเป็นทาสอมาตยา

สร้างศรัทธาว่าเสรีนั้นมีจริง

.

มาเถิดไพร่

มาร่วมใจอย่าละเลยอยู่เฉยนิ่ง

อำนาจเขาแหนหวงต้องช่วงชิง

อย่าหวังพิงพึ่งพาในฟ้าดิน

.

มาเถิดไพร่

สร้างประชาธิปไตยใช่ลมลิ้น

สิ่งศักดิ์สิทธิใดๆไม่ยลยิน

ก็อย่าสิ้นความหวังความตั้งใจ

.

มาเถิดไพร่

มาหลอมรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่

แม้นลำบากยากแสนสักเพียงใด

ก็ขอให้แน่นหนักอีกสักครา

.

มาเถิดไพร่

อนาคตของไทยในวันหน้า

ต้องสูญสิ้นข้าทาสอมาตยา

ถึงเวลา.....ไพร่ฟ้าธิปไตย

.

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

เลือดไพร่

เป็นเลือดไพร่เขียนป้ายป่าวประกาศ
ให้รู้เช่นเห็นชาติอำมาตย์ชั่ว
แล้วถางถากขวากหนามแห่งความกลัว
เพื่อเบิกตาฟ้าสลัวสว่างไสว

เมื่อไพร่ทาสร่วมประกาศดังกึกก้อง
ข้าแผ่นดินทั้งผองต้องเป็นใหญ่
มาร่ำร้องเรียกหาประชาธิปไตย
มิยินยอมจะอยู่ใต้ตีนศักดินา

ก่อสงครามชนชั้นอันศักดิ์สิทธิ์
แลกชีวิตเพื่อทาสไพร่ในวันหน้า
ให้ลูกหลานที่คืบคลานตามกันมา
รับรู้ว่า สิทธิ เสรี นั้นมีจริง

เมื่ออำมาตย์มิอาจละกองกิเลส
เกิดโกลาอาเพศทั่วทุกสิ่ง
ใช้อาวุธและอาญามาช่วงชิง
ทั้งแอบอิงอำนาจเหนือเพื่อพวกตน

ไพร่ก็รู้ว่าอยู่ไปก็ไร้เกียรติ์
ศักดินาหยามเหยียดมาแต่ต้น
สร้างกติกามาแบ่งชั้นและแยกชน
ไพร่จำทนด้วยจนต้องเจียมตัว

มาวันนี้วิถีไพร่ได้เรียนรู้
ทั้งได้ยินได้ดูแยกดีชั่ว
ได้แหวกพ้นมวลเมฆอันมืดมัว
สว่างไสวไปทั่วฟ้าเมืองไทย

เป็นเลือดไพร่หลั่งไหลให้โลกรู้
ว่าสีแดงก็เลือดกูรังเกียจไหม
กูรู้ดีเลือดมึงมีสีอะไร
ผู้ดี-ไพร่ ต่างที่ใจใช่ศักดินา

เราหลั่งเลือดล้างธรณีที่ชอกช้ำ
ชนชั้นสูง กลาง ต่ำ ใครค้ำฟ้า
เมื่อสาบสูญสิ้นสัญชาติอมาตยา
ถึงเวลาประชาธิปไตยไพร่เสรี

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Love me you must
Hate me you don’t
Respect me you will
Insult me you won’t

Believe me you have to
Against me you’re not
Obey me you do
Satisfied what you’ve got

Freedom all I gave
You’re nothing but slaves
Born to be you are
Dare not wish for star

Love me you must
Don’t betray my trust
Respect me you have to
Hid inside what’s in you

The spooky old tree

.
"You lived in my shade,
Built your nest on by branch,
You catch the wood worm from me to feed your child ,
Your whole family lives depend on me, without me you're all die.
You must learn to respect me."
.
Said the spooky old tree to the little bird.
.
.
.
"Respect ! How? Asked the little birds.
.
.
.
"Then thanks me for every worm you've catches,
Praise me every night before you go to sleep
And make me clean,
Don’t piss or shit on me"
.
The spooky old tree reply.
.
.
.
"I sing a song for you every morning,
That’s the way I praised you.
I catch the wood worm that disturbing your health,
That’s the way I treat you and tend you,
Besides,
My piss and shit also good manure for you."
.
"We lived our lives together for a long time,
If you don't like the way I treat you, I'll go."
.
One little bird reply with a little feeling hurt.
.
.
.
"Then I have no song in the morning,
The wood worm will disturbing me and made me ill,
.
And I won't have good manure anymore,
.
Please stay."
.
The spooky old tree just knew the way of life.
And the way of love.
.
.
.

คนระยำ

แผ่นดินทองประเทศนี้ดีหนักหนา
ร่ำลือว่าเทวดามาเสกสร้าง
มีธารน้ำน้อยใหญ่ไหลผ่านกลาง
นักเดินทางร่อนเร่พเนจร
.

ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งใบในทุ่งร้าง
คนเดินทางได้ร่มพอคลายร้อน
เกินเหนื่อยล้าระบมล้มตัวนอน

เพียงอาศัยได้พักผ่อนก่อนจากลา

.

ครั้นนานไปต้นไม้ใหญ่ก็เย่อหยิ่ง
กระแต กระรอก ค่าง ลิง เริ่มแก่กล้า
อีกทั้ง งู หนู ค้างคาว และ นก กา
ใต้ร่มไม้ชายคา ปารมี

.

เข้าถือครองเป็นเจ้าของต้นไม้ใหญ่
แล้วเอาอกเอาใจกันเต็มที่
ปากว่าพร้อมยอมตายถวายชีวี
ประหนึ่งเป็นหน้าที่ต้องทดแทน

.

จึ่งร่วมกันล้อมรั้วไว้รายรอบ
เพื่อให้เห็นเป็นขอบแห่งแว่นแคว้น
นอกร่มเงาต้นไม้คือชายแดน
อ้างความเป็นปึกแผ่นบนผืนดิน

.

สร้างกฎเกณฑ์กีดกันตามกำหนัด
ปกครองใต้นิติรัฐบนปลายลิ้น
เพื่อยึดครองร่มไม้ไว้หากิน
เกิดมายาจนชาชินสิ้นความอาย

.

ปิดกั้นคนเดินทางที่ริมรั้ว
แล้วออกตั๋วร่มเงาเอามาขาย
นอกร่มเงาแดดร้อนแทบละลาย
อยากพักผ่อนนอนสบาย จ่ายทรัพย์มา

.

ทั้งลิง ค่าง บ่าง ชะนี ที่อาศัย
อยู่ภายใต้กิ่งใบแผ่สาขา
ต่างยกยอปอปั้นพรรณนา
หลั่งน้ำตาตื้นตันกับต้นไม้

.

นักเดินทางทักท้วงตามวิถี
แยกนิยามความดีอยู่ที่ไหน
ว่าร่มเงาปกป้องเหตุผองภัย
แก่สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่อาศัยนอน

.

ถือเป็นคุณควรค่าการเคารพ
ไม่จำเป็นต้องประจบหรือปลิ้นปล้อน
หรือจะต้องสอพลอเพื่อขอพร
หรือจะต้องอ้อนวอนขอเมตตา

.

เมื่ออาศัยใต้ร่มไม้คลายร้อนหนาว
แม้นใช่บ่าวฤาไพร่ไม่ถือสา
ก็ทำนุบำรุงตามอัตรา
ถือได้ว่าแทนคุณตามกำลัง

.

เพียงแค่กราบแค่ไหว้ไร้คุณค่า
จะผลิดอกออกผลมาอย่าพึงหวัง
อำนวยพรฤาอ้อนวอนเซ่นเวียงวัง
ให้ฝนหลั่งลงมาอย่าพึงคิด

.

ประดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ร่ม
ต่างก็จมในโลภะโมหะจริต
แต่งต้นไม้ให้มีอิทธิฤทธิ์
ยืนบนความหลงผิดมานานนัก

.

ทั้งบังคับขู่เข็ญจงเซ่นไหว้
และขืนใจด้วยพาลเข้าหาญหัก
จะต้องรัก ต้องรัก จำต้องรัก
จึงจมปลักดักดานใจมืดดำ

.

คนเดินทางทดท้อขอลาจาก
กลับถูกฉุดกระชากจนล้มคว่ำ
ต้องโทษทัณฑ์ในสิ่งที่กระทำ
กลายเป็นคนระยำเพราะ “ไม่รัก”

.

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Wet Dream...เว็จ.ในฝัน

.
.
ด้วยสามัญสำนึกแห่งกำหนัด
จึงรวบรัดตัดทางกลางวิถี
สนองตอบตัณหาประดามี
เลือดชโลมธรณีอีกกี่คน
.
.

ด้วยสำนึกสัตว์เลี้ยงจอมลวงโลก
บนแผ่นดินวิปโยคยังไม่พ้น
ยังย่ำยีบีฑาประชาน
ยังสร้างเหตุหาผลเพื่อตนเอง

.

.

แผ่นดินร้อนรุมเร้าเหล่าทวยราษฎร์
นิติรัฐบนกระดาษอันครัดเคร่ง
เพื่อพวกตนพวกตัวไม่กลัวเกรง
นิติรัฐก็ละเลงโทษละลาย

.

.

จะร้องทุกข์ถึงใครก็ไร้ผล
ประชาชนสิ้นเยื่อใย..ใจสลาย
คงเหลือเพียงนิยามแห่งความตาย
มัจจุราชจะเยี่ยมกรายถึงใครกัน

.

.

ประชาชนหรือผู้เผด็จการ
คงไม่ช้าไม่นานถึงวันนั้น
แลกชีวิตกับชีวิตเป็นเดิมพัน
อายุยาวอายุสั้นต้องสิ้นลง

.

.

ธรณีนี่นี้เป็นพยาน
รัฐประหารไปตามความโลภหลง
กี่ร้อยพันชีวิตต้องปลิดปลง
ครานี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน

.

.

แม้นศาสตราอาวุธอันวิเศษ
ปิดประเทศปล้นฆ่าอย่าฝันหวาน
ถึงอดีตที่ยิ่งใหญ่ในวันวาน
เป็นอดีตกาลนานมาแล้ว

.

.

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ปีนี้ ข้าพเจ้าและมิตรสหายหลายๆคน ไม่ขอรับคำอวยพร

คำอวยพรปีใหม่ไร้คุณค่า
เพียงวาจาลวงหลอกบอกบ่าวไพร่
ส่งความสุขทุกปีมีโชคชัย
คิดสิ่งใดให้สมอารมณ์ปอง

เป็นความสุขของใครในแดนนี้
วานบอกทีสุขอยู่ไหน?นะพี่น้อง
แดนสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
เห็นแต่กองทุกข์ทับถมทวีคูณ

เป็นความสุขของท่านที่เคารพ
หากทาสไพร่ไม่สยบต้องสิ้นสูญ
สุขที่ไพร่แลทาสต้องเทอดทูน
กองกระดูกที่เกื้อกูลแต่ก่อนมา

เป็นความสุขของท่านกระนั้นหรือ
ใช้ความซื่อความใสของไพร่ฟ้า
เอื้ออำนวยเอิบอาบภาพมายา
แล้วบอกว่า ตลอดปีมีสุขเทอญ

เป็นความทุกข์ของทาสไพร่ในประเทศ
ได้เพียงเศษเสี้ยวสุขสรรเสริญ
บังคับทางวางกำลังสั่งให้เดิน
ทุกข์เหลือเกินทุกข์เหลือล้นพลเมือง

ท่านสั่งมาว่าจงสุขจงสงบ
ข้าแต่ท่านที่เคารพด้วยฟ้าเหลือง
ทั้งทาสไพร่ในสยามนามประเทือง
ไม่โกรธเคืองขัดข้องให้หมองใจ

สามัญชน ทาสไพร่ใต้แผ่นฟ้า
ปั้นยิ้มปิดใบหน้าแสร้งตาใส
แล้วประแป้งโป้ปดกันต่อไป
ขอชาวไทยจงเป็นสุขสวัสดี