ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนระยำ

แผ่นดินทองประเทศนี้ดีหนักหนา
ร่ำลือว่าเทวดามาเสกสร้าง
มีธารน้ำน้อยใหญ่ไหลผ่านกลาง
นักเดินทางร่อนเร่พเนจร
.

ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งใบในทุ่งร้าง
คนเดินทางได้ร่มพอคลายร้อน
เกินเหนื่อยล้าระบมล้มตัวนอน

เพียงอาศัยได้พักผ่อนก่อนจากลา

.

ครั้นนานไปต้นไม้ใหญ่ก็เย่อหยิ่ง
กระแต กระรอก ค่าง ลิง เริ่มแก่กล้า
อีกทั้ง งู หนู ค้างคาว และ นก กา
ใต้ร่มไม้ชายคา ปารมี

.

เข้าถือครองเป็นเจ้าของต้นไม้ใหญ่
แล้วเอาอกเอาใจกันเต็มที่
ปากว่าพร้อมยอมตายถวายชีวี
ประหนึ่งเป็นหน้าที่ต้องทดแทน

.

จึ่งร่วมกันล้อมรั้วไว้รายรอบ
เพื่อให้เห็นเป็นขอบแห่งแว่นแคว้น
นอกร่มเงาต้นไม้คือชายแดน
อ้างความเป็นปึกแผ่นบนผืนดิน

.

สร้างกฎเกณฑ์กีดกันตามกำหนัด
ปกครองใต้นิติรัฐบนปลายลิ้น
เพื่อยึดครองร่มไม้ไว้หากิน
เกิดมายาจนชาชินสิ้นความอาย

.

ปิดกั้นคนเดินทางที่ริมรั้ว
แล้วออกตั๋วร่มเงาเอามาขาย
นอกร่มเงาแดดร้อนแทบละลาย
อยากพักผ่อนนอนสบาย จ่ายทรัพย์มา

.

ทั้งลิง ค่าง บ่าง ชะนี ที่อาศัย
อยู่ภายใต้กิ่งใบแผ่สาขา
ต่างยกยอปอปั้นพรรณนา
หลั่งน้ำตาตื้นตันกับต้นไม้

.

นักเดินทางทักท้วงตามวิถี
แยกนิยามความดีอยู่ที่ไหน
ว่าร่มเงาปกป้องเหตุผองภัย
แก่สัตว์น้อยสัตว์ใหญ่อาศัยนอน

.

ถือเป็นคุณควรค่าการเคารพ
ไม่จำเป็นต้องประจบหรือปลิ้นปล้อน
หรือจะต้องสอพลอเพื่อขอพร
หรือจะต้องอ้อนวอนขอเมตตา

.

เมื่ออาศัยใต้ร่มไม้คลายร้อนหนาว
แม้นใช่บ่าวฤาไพร่ไม่ถือสา
ก็ทำนุบำรุงตามอัตรา
ถือได้ว่าแทนคุณตามกำลัง

.

เพียงแค่กราบแค่ไหว้ไร้คุณค่า
จะผลิดอกออกผลมาอย่าพึงหวัง
อำนวยพรฤาอ้อนวอนเซ่นเวียงวัง
ให้ฝนหลั่งลงมาอย่าพึงคิด

.

ประดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ร่ม
ต่างก็จมในโลภะโมหะจริต
แต่งต้นไม้ให้มีอิทธิฤทธิ์
ยืนบนความหลงผิดมานานนัก

.

ทั้งบังคับขู่เข็ญจงเซ่นไหว้
และขืนใจด้วยพาลเข้าหาญหัก
จะต้องรัก ต้องรัก จำต้องรัก
จึงจมปลักดักดานใจมืดดำ

.

คนเดินทางทดท้อขอลาจาก
กลับถูกฉุดกระชากจนล้มคว่ำ
ต้องโทษทัณฑ์ในสิ่งที่กระทำ
กลายเป็นคนระยำเพราะ “ไม่รัก”

.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น