ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

กากกวี Extended Version

แด่ผู้พี่ กวีทอระราด
ที่ใจเบาเขลาขลาด
หลงกิเลสระเริงรื่น
ประชาธิปไตย
ภายใต้กระบอกปืน
ยอมหลับมิยอมตื่น
ยอมฝ่าฝืนกติกา

..........................................................................................................................................................................................................


แค่เขียนกลอนหากินบนกองเลือด
แผ่นดินเดือดไพร่ด่าวดิ้นดินหม่นไหม้
อุดมกินในบทกลอนสะท้อนใน
ความจริงใจในสังคม อุดมปัญญา


เอาชื่อเสียงมาสมสู่คู่ทรราช
ป่าวประกาศศักดิ์ศรีที่ไร้ค่า
แลกเศษเบี้ยบนกองบาปคราบน้ำตา
แห่งทาสไพร่ที่ไห้หาประชาธิปไตย


ใช้ชั้นเชิงชำนัญพยัญชนะ
มาสังวาสกับสระแล้วสอดไส้
วรรณยุกต์แยบคายให้ตายใจ
เป็นบทกลอนสะท้อนไพร่ทรยศ


ด้วยหลายหลากมากลีลาพาให้หลง
เมืองนี้คงรุ่มรวยด้วยขบถ
เหล่าทาสไพร่คงพร้อมใจกันคิดคด
เพื่อจะปลดโซ่ตรวนที่ตีตรา


เอ็งก็ไพร่แล้วไฉนไร้ความคิด
ว่าชีวิตทาสไพร่ในวันหน้า
จะอยู่ใต้อุ้งตีน อมาตยตา
ลูกหลานเอ็งลูกหลานข้า...หรือเป็นไท?


กากกวีศรีสยามนามอุโฆษ
ได้ตอบโจทย์สังคมไทยแล้วใช่ไหม?
หรือแค่ กิน-เกียรติ-กาม ตามแต่ใจ
ข้ายกให้ กากกวีใต้ขี้ตีน


.......................................................................................

กากกวีที่เลอะเลือนเปื้อนกิเลส
รจนาอาเพศเศษอักษร
กระซ่านเสียวเลี้ยวลดเป็นบทกลอน
ขึ้นเห่าหอนโหยหวนชวนคนฟัง


ศิลปินแห่งชาติอุบาทว์นัก
ติดชนักความเชื่อเมื่อหนหลัง
ร่ายบรรเลงเพลงโศลกด้วยเสียงดัง
ควายก็นั่งเคี้ยวเอื้องชำเลืองมอง


อักษรเลอะเกรอะกรังยังเกลือกกลั้ว
ใจร่านรนหม่นมัวมือหม่นหมอง
ถ่มน้ำลายแทนน้ำหมึกไม่ตรึกตรอง
ควายแซ่ซ้องสรรเสริญส่งเสียง ..มอ..


กวีใหญ่ให้คึกใจฮึกเหิม
จึงแต่งเติมลำนำตามคำขอ
กิเลสโลภหลงใหลไม่เคยพอ
ยินคำยอจากควายคล้ายคำคน


.................................................................................

แสนสมเพศเวทนานิจจาเอ๋ย
ช่างแกร่งกล้ากระไรเลย ”กวี” หรือ?
เห็นเอ็งร่ำสุราทำตาปรือ
หัวขมองคงตื้อบ้างคงตาย


ก้อนความคิดติดขัดตัดไม่ขาด
เอ็งรับใช้อำมาตย์ จนหยาดสุดท้าย
ไข่มุกบนจานหยก ตกกระจาย
สมบัติชิ้นสุดท้ายที่ขายกิน


อะโห! ถ่องทัศนวิสัย ในภาพหลอน
ดั่งนกแก้วเกาะคอน คะนองลิ้น
ในกรงขังผูกคาดมิอาจบิน
เอ็งหมดสิ้น ซึ่งรูปนาม “ความเป็นไท"


ยังอวดอ้างโอ่อ่าว่ายังสู้
เอ็งไม่รู้ว่ายืนอยู่บนพื้นไหน
ไม่รู้หรือว่าเอ็งยืนผืนดินใด
เอ็งเป็นไพร่ ยอมอยู่ใต้ขี้ฝุ่นตีน

.................................................


ก้อนสมองสองข้างทั้งซ้ายขวา
ชั่งน้ำหนักพิจารณา ว่าไม่ใช่
กิเลสโลภชักนำถลำไป
อัตตากูผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน


ทุกอักษรพรางสีกูดีเลิศ
แสนประเสริฐสมคำลือคำเล่าขาน
ศิลปินแห่งอักษรเจ้ากลอนกานต์
ทั้งโองการ โคลง ร่าย ฉันท์ กาพย์ กลอน


ที่เขียนมาห้าหกปี มีบ้างไหม
เพื่อประชาธิปไตย ใช่เห่าหอน
เพื่อเสรีแห่งทาสไพร่ในนาคร
ความเท่าเทียม ถูกตัดตอน ต้องตกตาย


ขอโทษที ที่เอ็งเขี่ย มิได้เขียน
แค่ลำบากพากเพียร บนความง่าย
ใช้ศัพย์แสงดัดจริตทำกรีดกราย
ที่เลวร้าย คือทัศนะ กากกวี


............................................................................

เราผู้หยัดอยู่สู้พาล บ่เจียมสังขาร
คุยโวโอ่อ้างอวดดี

ข้อยสิฮากกากกวี แหกนรกอเวจี
ต่ำช้าตลบแตลง

ควายบ่สงสัยเคลือบแคลง เว้นคนเสื้อแดง
ตาสว่างถ้วนกลางใจ

รู้เห็นว่าเป็นเช่นไร เปลือกสวยผ่องใส
ไส้ทุกขดบูดเน่าเหม็น

ทุกสิ่งอย่างที่เกิดเป็น มิใช่ที่เห็น
หลอกแค่คนโง่งมงาย

บัดนี้คงเหลือน้อยราย เพียงฝูงงัวควาย
บ่มิเห็นซึ่งปัญญา

ยินฟังอ่านโฆษณา ด้วยหูด้วยตา
ปรุงจิตเคลิ้มขี้นโดยพลัน

บทกวีจะมีวัน เกิดค่านับอนันต์
มิเพียงเป็นอักษรสวย

เฝ้าฝันถึงแต่ความรวย ประโยชน์อำนวย
ได้ศักดิ์เป็นแค่กากกวี

......................................................

@ คือเราผู้หยัดขัดขืน
โขมดมารพล่านกลืน
เขมือบโขมงโกงกิน

@ คือเราผู้สู้บมิสิ้น
คือดาวคือดิน
คือไทยผู้คงใจไท!

..................................................

เห็นคำโอ่อวดอ้างเขียนอย่างนี้
หลอกว่ามีอุดมการณ์อันแกร่งกล้า
ที่หยัดยืนฝืนสู้อยู่นานมา
สบประมาทปัญญาประชาชน

มิอาจเว้นแม้นจะเป็นพี่ผู้ใหญ่
แล้วศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหนไม่เห็นหน
ใช้เพียงเส้น ศิลปิน มาปลอมปน
มิใช่คนที่คิดว่าจะเป็นคุณ

จะเคียงข้างเผด็จการก็เคียงข้าง
เสรีภาพเบาบางดั่งปุยนุ่น
ก็เห็นชัดอำมาตย์มาค้ำจุน
อีกนายทุนธนาคารที่ผ่านฟ้าฯ

ทุกบทที่กากกวีกระแดะเขียน
ขอบอกว่าอยากอาเจียรพระเจ้าข้า
ไร้ซึ่งความจริงใจไร้ราคา
ขอบอกว่ามิอาจปล่อยให้ลอยนวล

..................................................


หากความคิดถูกครอบในกรอบแคบ
ก็ยังแอบเคลื่อนไหวในกรอบขัง
จะแลไหนด้วยรอบด้านมีม่านบัง
กวียังเยาะหยันด้วยมั่นใจ

เมื่อความคิดถูกขังและถูกครอบ
ต้องติดกรอบกติกาแห่งข้าไพร่
แล้วยกเยินสรรเสริญเพลินกันไป
คงจะได้ “กากกวี” สีอำพัน

เมื่อความคิดอิสรภาพถูกขึงพืด
กลอนก็ฝืดฝากสำเนียงเพียงความฝัน
ไร้ซึ่งความสมจริงทุกสิ่งอัน
แค่ขยันตักน้ำปั้นมาเป็นตัว

พื้นความคิดหลงผิดจึงติดกับ
กลอนที่ขับกาพย์ที่ขานประจานทั่ว
สร้างเนื้อหาให้เร่งเร้าด้วยเมามัว
ยังหลงตัวหลงตนด้วยอัตตา

พยัญชนะลากสระ มาประสม
ได้เพียงลมลอยไปไร้คุณค่า
มิได้แต่งมิได้เติมเสริมปัญญา
เป็นเนื้อหาจอมปลอมที่ไร้ใจ

สมนามนี้ “กากกวี” ศรีสยาม
ที่หลงตามเป็นทาสทุนเขาขุนไว้
ขออย่าอ้างโอ่ถึง “อธิปไตย”
“กากกวี” นั้นมิใช่ “เสรีชน”

........................................

แลหัวโขนที่ครอบ ดูคร่ำคร่า
เห็นแววตามืดมนดูหม่นหมอง
รัตนโกสินทร์สิ้นกวีที่เรืองรอง
กวีทองกวีแก้ว สิ้นแล้วฤา

พยัญชนะฉุดสระ มาสังวาส
ป่าวประกาศว่ากวี ที่นับถือ
บอกสาระซ่อนเร้นสร้างข่าวลือ
หวังยึดยื้อความจริงดิ่งนรก

ใช้บทนำกำกวมดูเก่งกล้า
ประกาศท้าว่าจะสู้สิ่งสกปรก
โขมดมารขวางหน้าจะท้าชก
แค่ยอยกตัวตน คนเชื่อก็ควาย

คงสิ้นซากทิ้งกากไว้เกลื่อนกล่น
ขายสิ้นความเป็นคนและความหมาย
อุดมการณ์อุดมกินกันวอดวาย
สะกดคำ ว่า "อาย" ไปเป็น "อวย"
.................................................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น